เที่ยวอิตาลี Asti city tour
(ภาพโดยผู้เขียน)
สวัสดีผู้อ่านทุกคนนะคะ ได้ข่าวว่าประเทศไทยเราช่วงนี้อากาศหนาวเย็นมาก โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน วันก่อนแม่บอกว่าได้นอนใส่ถุงเท้าตั้งหลายชั้น ซึ่งเมื่อก่อนจะใส่แค่ชั้นเดียวก็ไม่ชิน เพราะใส่ถุงเท้าแล้วอึดอัดหายใจไม่ออก แต่พอความหนาวเย็นลุกคืบเข้ามาหาไม่หยุด จะใส่ถุงเท้ากี่ชั้นแม่ก็บ่ยั้นค่ะ
กลับมากันที่บ้านปูที่ความหนาวมาเยือนหลายเดือนแล้ว และคงมีทีท่าว่าจะอยู่อีกนานหลายเดือนเลย ถามว่ายั้นไหม ตอบเลยว่ายั้นค่ะ ก็มันหนาวนี่เนาะ หนาวก็คือหนาวไม่มีความอบอุ่นใดเจือปน แต่ชีวิตเราต้องเดินต่อไปค่ะ (พูดเหมือนรันทดเนาะ ฮ่า...ฮ่า..) เอาจริง ๆ ก็รันทดความร้อนในหน้าหนาวนี่แหละ
(ภาพโดยผู้เขียน)
แล้วอากาศหนาว ๆ แบบนี้ทำอะไรได้ ในยามบ่ายแก่ ๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง (คอนโดหรืออพาร์ทเมนต์) แถมมีลูกเล็ก ๆ ด้วยนะ ส่วนตัวปูคือการได้พาลูกไปเดินออกกำลังกาย ให้แข้งขามีเรี่ยวมีแรง ให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากการได้สังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
แต่ในภาวะโควิดที่กำลังระบาดอยู่ในอิตาลีตอนนี้ ข้อจำกัดในการออกนอกบ้านของเราก็มีมากขึ้น ไม่ได้สะดวกสบายมีความเป็นอิสระเหมือนเมื่อก่อน หน้ากากก็ต้องใส่ กฏระเบียบในการรักษาระยะห่างก็ต้องเคารพ ใครอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโควิดมาก จะถูกจัดให้เป็นพื้นที่สี แดง (Rosso) ส้ม (Arancione) เหลือง (Giallo) แล้วแต่จำนวนของผู้ติดเชื้อในเขตนั้น ๆ
ทุกสีที่รัฐบาลอิตาลีจัดไว้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสีแดง, สีส้มและสีเหลือง ที่จังหวัด Asti เคยถูกจัดให้อยู่ในทุกกลุ่มสีมาแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนก็ต้องมีการปรับตัวพอสมควร New normal ผู้คนในยุคนี้ได้ยินกันจนชินแล้ว
(ภาพโดยผู้เขียน)
การได้ออกมาเดินเล่นนอกบ้านในช่วงที่มีโควิดระบาดอยู่ ก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบ New normal เช่นกัน เพราะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้าน ต้องรักษาระยะห่าง และเลี่ยงเข้าไปในสถานที่แออัด
ปูกับลูกชายใช้เวลาไปเดินออกกำลังกายในละแวก ตรอกซอกซอยของตัวเมือง Asti บวกลบคุณหารตั้งแต่ออกจากบ้านจนกลับเข้ามาบ้านประมาณ 2 ช.ม. ถึงแม้ว่าบ้านเราจะอยู่ในตัวเมืองเลย แต่เราก็ใช้เวลาแวะดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อย
(ภาพโดยผู้เขียน)
Corso alla Vittoria เป็นชื่อถนนที่อพาร์ทเมนต์ที่เราอยู่ ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่สำคัญอีกเส้นหนึ่งของจังหวัด Asti ถึงจะไม่ยาวมากนักแต่ระหว่างสองข้างถนน ก็เป็นที่ตั้งของโรงเรียนถึงสองแห่งด้วยกัน แถมยังมีร้านรวงอีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นร้านตัดผม ร้านซักอบรีด ร้าน Tabacchino ร้านขายขนมปัง ร้านหนังสือ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเครื่องหอมและสมุนไพร โรงแรม ซูเปอร์มาเก็ต บาร์กาแฟ เรียกได้ว่าใต้ตึกอพาร์ทเมนต์ทุกตึกบนถนน Corso alla Vittoria มีร้านค้าทุกตารางเมตรเลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนถนนเส้นนี้เคยที่เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลประจำจังหวัด Asti นั่นเอง แต่ตอนนี้ทางจังหวัดได้ย้ายโรงพยาบาลให้ไปอยู่ชานเมืองอีกฝั่งหนึ่งแทน
ด้วยความที่ถนน Corso alla Vittoria ถือว่าอยู่ในตัวเมือง เราจึงเห็นผู้คนพลุกพล่านอยู่แทบทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าที่ผู้ปกครองพาลูก ๆ ไปโรงเรียน และช่วงบ่ายที่มารับลูก ๆ กลับบ้าน
(ภาพโดยผู้เขียน)
ตั้งแต่ออกจากหน้าประตูอพาร์ทเมนต์ ทางฝั่งซ้ายมือจะมีผู้คนยืนเข้าแถวเพื่อไปใช้บริการร้านกาแฟ L' insolito อยู่เป็นประจำ อย่างน้อย ๆ ก็ 6 - 7 คน ไม่นับรวมลูกค้าที่กำลังใช้บริการอยู่ในร้านกาแฟแล้ว ถือว่าไม่น้อยเลยกับภาวะโควิดที่ยังระบาดอยู่ แต่เนื่องด้วยบาร์กาแฟ L’ insolito เป็นร้านกาแฟที่เก่าแก่ แถมยังตั้งอยู่บนหนึ่งในถนนเส้นที่สำคัญของตัวเมือง Asti อีกด้วย จึงมีผู้คนมาใช้บริการอยู่ตลอด
ถนนเส้นเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงข้ามตัวตึกที่ตั้งของบ้านปูและบาร์กาแฟ L' nsolito นั้น จะเป็นถนนตรงไปยังหนึ่งในโรงเรียนประถมประจำจังหวัด Asti ถ้าจะเดินจากหน้าบ้านปูไป ก็ใช้เวลาเพียงห้านาทีก็ถึง พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนจึงมักที่จะมาจอดรถบนถนนละแวกนี้ บางคนก็จะแวะมาที่บาร์กาแฟ L' insolito ในตอนเช้าก่อนที่จะพาลูก ๆ หลาน ๆ ไปส่งที่โรงเรียน บางคนก็จะแวะในช่วงบ่าย หรือบางคนก็แวะทั้งช่วงเช้าและบ่ายเลย ยิ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้คนจะเนืองแน่นตลอด บางทีได้ยินเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเลย เพราะบ้านปูอยู่ชั้นถัดขึ้นไปจากบาร์กาแฟ L' insolito พอดี
(ภาพโดยผู้เขียน)
วันนี้ตามตารางของเราสองแม่ลูก คือ เดินออกกำลังกายตามตรอกซอกซอยในใจกลางเมือง Asti ถึงแม้ว่าบ้านเราจะอยู่ในตัวเมือง แต่ยังไม่ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของตัวเมืองนัก ต้องเดินอีกสักหน่อย ถ้าไม่แวะโน่นแวะนี่ใช้เวลาเดินเพียง 10 นาทีก็ถึงแล้ว
อย่างที่เกริ่นไปในข้างต้นถ้าออกจากประตูอพาร์ทเมนต์ไป เลี้ยวซ้ายจะเป็นบาร์กาแฟ L' insolito ที่อยู่ใต้ตึกที่พวกเราอยู่ แต่ถ้าจะเข้าไปในใจกลางเมืองจะต้องเลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไปจนสุดถนนสาย Corso alla Vittoria ก็จะเจอจตุรัส Alfieri จุดตรงนี้ถือว่าเริ่มอยู่ในโซนใจกลางเมือง Asti จริง ๆ แล้ว จากบ้านเดินมาถึงตรงนี้ เราสองแม่ลูกใช้เวลาไป 15 นาทีเลยทีเดียว เพราะอเล็กซ์ใช้เวลาสำรวจและจ้องหนังสือที่ตัวเองอยากได้อยู่หน้าร้านหนังสือเป็นนานสองนาน ก่อนจะเดินจากมาด้วยสายตาละห้อย และบอกกับแม่ว่า Mi piace molto quell' libro (ผมชอบหนังสือเล่มนั้นมากครับ) ปูบอกอเล็กซ์ไปว่าต้องทำตัวน่ารัก ขยันออกกำลังกาย แล้วเดี๋ยวแม่จะซื้อให้ ได้ฟังแค่นั้นแหละสายตาลุกวาว รีบเดินจ้ำอ้าวไม่รอแม่เลย ฮ่า ฮ่า
(ภาพโดยผู้เขียน)
เมื่อเราเดินมาถึงจตุรัส Alfieri ก็เริ่มเห็นมีผู้คนเดินกันประปรายบริเวณรอบ ๆ จตุรัสแห่งนี้บ้างแล้ว บางคนมาจอดรถ บางคนมาเอารถที่จอดไว้ เพราะจตุรัสตรงนี้ถูกใช้ให้เป็นลานจอดรถ ยกเว้นวันพุธและวันเสาร์ เพราะสองวันนี้ทางเทศบาลจัดสรรให้เป็นตลาดนัด เปิดโอกาสให้กับพ่อค้าแม่ขายได้นำสินค้าทั้งของกินและของใช้มาตั้งแผงขายสินค้ากันที่นี่
ส่วนวันนี้ไม่ใช่คิวของตลาดนัด ผู้คนบางส่วนที่เห็นเดิน ๆ กันอยู่อาจจะเหมือนเราสองคนแม่ลูก คือ ไม่ได้มาจอดรถ หรือ มาเอารถที่จอดไว้ แต่แค่เดินผ่านมาบริเวณนี้เท่านั้น บางคนอาจจะมาซื้อของกินของใช้ บางคนกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกงาน หรือ กำลังเดินเล่นออกกำลังกายเหมือนเราสองแม่ลูก
(ภาพโดยผู้เขียน)
จตุรัส Alfieri แห่งนี้เชื่อมต่อถนนหลายสายเข้าด้วยกัน ทั้ง Corso alla Vittoria, Corso Dante, Corso Alfieri, Corso Einaudi ถนนแต่ละเส้นล้วนแต่มีความสำคัญ และมีสถานที่สำคัญ ๆ ตั้งอยู่ ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
แผนที่ที่สองแม่ลูกใช้เดินออกกำลังกายก็คือ จากบ้าน Corso alla Vittoria ไปถึง จตุรัส Alfieri แล้วต่อที่ Corso Alfieri พอไปถึงกลางถนน Corso Alfieri เราตัดสินใจที่จะเลี้ยวซ้ายเพื่ออ้อมไปยัง จตุรัส San Secondo ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ San Secondo โบสถ์ใหญ่ประจำจังหวัด Asti ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมธงของผู้ที่ชนะการประกวดม้าแข่งในแต่ละปีไว้ที่นี่
เราหยุดนั่งพักและเดินเล่นที่จตุรัสแห่งนี้นานพอสมควร เพราะจากที่เดินมาตั้งแต่ตอนแรกเรายังไม่ได้พักสักเท่าไหร่เลย อีกทั้งที่นี่ยังมีม้านั่งรอบ ๆ จตุรัสให้เราได้นั่งพักเอาแรงและชมวิวสวย ๆ รอบโบสถ์อีกด้วย เราสองแม่ลูกนั่งเล่นอยู่ที่นั่นจนพอใจแล้วก็เดินเลยมาที่ จตุรัส Alfieri จุดศูนย์กลางของตัวเมืองที่เราเดินจากบ้านมาถึงในช่วงก่อนหน้านี้ที่เกริ่นไป
(ภาพโดยผู้เขียน)
มาถึงตรงนี้เรายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของจตุรัส Alfieri ถ้าจะกลับบ้านก็แค่เดินผ่านจตุรัสนั้นไป ในตอนขากลับจะเห็นได้ว่าจำนวนรถที่จอดอยู่ลดน้อยกว่าตอนที่เราเดินมาในตอนแรก เพราะผู้คนเริ่มทยอยกันกลับบ้านกันแล้ว ก็คงเหมือนกับเราสองแม่ลูกที่จะต้องเดินกลับบ้านเช่นเดียวกัน เพราะบรรยากาศรอบ ๆ เริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืดบ้างแล้ว ช่วงนี้ที่อิตาลียังอยู่ในช่วงหน้าหนาว พอถึงเวลา 5 - 6 โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว ช่วงเวลาที่เราเดินเตร็ดเตร่กันอยู่นอกบ้านนั้น นอกจากจะได้ออกกำลังกายให้แข็งแรงขึ้น ยังถือว่าเป็นการเผาผลาญไขมันได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาว แต่การที่ได้เดินบ้างวิ่งบ้าง ก็ทำให้ร่างกายของเราอุ่นจนลืมหนาวไปได้บ้างค่ะ
(ภาพโดยผู้เขียน)
สำหรับผู้อ่านที่ต้องการออกกำลังกาย อยากเผาผลาญไขมันลองใช้วิธีการแบบเราสองแม่ลูกได้นะคะ จะเดินตามสวน ตามไร่ตามนา หรือในตัวเมืองก็เดินกันได้ แต่ถ้ามีผู้คนพลุกพล่านก็ให้ดูแลตัวเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอร์ฮอล์ไว้ล้างมือ และที่สำคัญรักษาระยะห่างด้วยค่ะ
วันนี้หวังว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างน้อยก็ความบันเทิง คิดว่าได้มาเที่ยวแบบ New normal ไปกับปูและลูกชายนะคะ สำหรับวันนี้ปูต้องขอลาผู้อ่านทุกคนไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดไป ขอบคุณและสวัสดีค่ะ
Writer
Diary on tour
~ วัชราภรณ์ ศิริวรรณา ~
ชอบเขียนชอบเล่า เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ชอบพบปะผู้คน รักการท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้คะ
ช่องทางการติดต่อ
Email : ngamdokbua99@gmail.com
คิดถึงอิตาลี่ ❤️
ตอบลบไว้มาเที่ยวอีกนะคะ
ลบเดินกันยาวนานมากค่ะสองแม่ลูก
ตอบลบจนตะวันลับฟ้ากันเลยค่ะ 😍😍
ลบ