"ซิ้นหลอด" กาลครั้งหนึ่งนานทีปีหนจะได้กิน
#ซิ้นหลอด….เมนูที่กาลครั้งหนึ่งนานทีปีหนถึงจะได้กิน
"ซิ้นหลอด" เป็นภาษาถิ่นของภาคอีสานถ้าจะพูดให้ทุกคนได้เข้าใจตรงกัน "ซิ้นหลอด" ก็คือเนื้อแห้งนั่นเองค่ะ พอพูดถึงเมนูนี้ขึ้นมาปูก็อดที่จะคิดถึงสมัยเด็ก ๆ ไม่ได้ เพราะซิ้นหลอดนี้ไม่ใช่ว่าจะหากินกันง่าย ๆ
ตามชื่อบทความเลยค่ะ " ซิ้นหลอด " เมนูที่กาลครั้งหนึ่งนานทีปีหนจะได้กิน เพราะต้องรองานบุญประจำปีถึงจะมีการล้มวัวล้มควาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นควาย เพราะแถวบ้านปูสมัยก่อนจะนิยมเลี้ยงควายมากกว่าวัว ราคาของควายก็ถูกกว่า และที่สำคัญควายมีความสำคัญสำหรับชาวไร่ชาวนามาก เพราะต้องใช้ควายช่วยทำนานั่นเอง
ในส่วนของงานบุญต่าง ๆ ในแถบภาคอีสานก็จะถือตาม " ฮีตสิบสองคองสิบสี่ " ซึ่งนักปราชณ์อีสานหลายท่านก็ได้แต่งบทกลอน แต่งผญาเกี่ยวกับ " ฮีตสิบสองคองสิบสี่ " ไว้เยอะแยะเลยค่ะ อย่างเช่น ในเว็บ " ธรรมจัดสันติ์ " ก็ได้รวบรวมผญาไว้เช่นกัน
ถ้าผู้อ่านสนใจบทผญาฉบับเต็มเกี่ยวกับ
" ฮีตสิบสองคองสิบสี่ " ของทางเว็บ ธรรมะจัดสันติ์ ก็สามารถตามต่อได้ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ
http://dhammajonson.blogspot.com/2011/07/blog-post.html?m=1
ที่เป็นหมอลำก็มีและปูก็เลือกบทลำล่องของคุณแม่พิกุลทอง โพนแก้ว มาฝากผู้อ่านทุกคนที่อยู่เป็นเพื่อนปูในการย้อนตำนาน " ซิ้นหลอด " ไปด้วยกันค่ะ รับรองว่าน้ำเสียงของคุณแม่พิกุลทองจะพาเราย้อนตำนานกันไปแบบแต๋แล่นแตจนไม่อยากกลับเลยหล่ะค่ะ ว่าแล้วก็ขออนุญาติหัวเราะดัง ๆ สักห้าวิก่อนนะคะ
อะครึ ‼ อะครึ ‼ ( นี่คือเสียงหัวเราะ 😂😂 )
ในส่วนงานบุญประจำปีที่ปูเกริ่นไปข้างต้นก็คืองานบุญผะเหวดหรือบุญมหาชาติ ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนสี่หรือเดือนมีนาคมของทุกปี และงานบุญกฐินที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนสิบสองหรือเดือนธันวาคมของทุกปีนั่นเองค่ะ
อย่างที่บอกค่ะว่าตามบ้านนอกบ้านนา
" ซิ้นหลอด" เป็นของกินที่นาน ๆ ทีจะได้กิน เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ นักเรียนใครที่ได้ห่อข้าวมื้อเที่ยงกับซิ้นหลอดนี้ถือว่าหรูหราหมาเห่าเอาเรื่องเลยค่ะ ได้แต่รอ ร้อ รอกันไปกว่าเมื่อไหร่บุญใหญ่จะเวียนมาถึง
อย่างไรก็ตามถึงจะมีเนื้อมาให้ทานกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีซิ้นหลอดนี้เลยนะจ๊ะ เปล่าจ้า‼ คือต้องเหลือจากเมนูลาบเมนูก้อยและเหลือรอดจากเมนูต้มมาแล้ว คุณถึงจะได้ไปต่อถึงเมนู "ซิ้นหลอด" ในตำนานค่ะ 😂😂😂 เพราะว่า ลาบก้อยและต้มคือพระเอกของงานบุญ 😂😂😂
ถ้าบ้านไหนมีเนื้อเหลือจากเมนูหลัก ๆ จากการเฉลิมฉลองงานบุญแล้ว ก็จะนำเนื้อส่วนที่เหลือมา "แล่" หรือภาษาถิ่นอีสานเรียกว่า "ส่อย" เป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาว ๆ แล้วก็โรยด้วยเกลือ และเกลือนี่แหละค่ะคือพระเอกของ " ซิ้นหลอด " ส่วนนางเอกก็คือผงซูรสค่ะ 😂😂 กระเทียมพริกไทยบ้านไหนมีก็โขลกเข้าไป คลุกเคล้ากันไป
เมื่อขยุ้มขยำเครื่องปรุงเข้าเนื้อจนได้ที่ ก็เป็นหน้าที่ของ "ตอก" ซึ่งทุกบ้านที่ทำนาต้องมีอยู่แล้ว เราจะนำตอกมาเสียบร้อยซิ้นหลอดในตำนานกัน จะร้อยสามสี่ชิ้นใส่รวมกัน แล้วก็มัดและนำมาตากแดด แถวบ้านปูจะเรียกว่า
" ต่อง " ซิ้นหลอดกี่ต่องก็ว่ากันไป ตากจนซิ้นหลอดแห้งโน่นแหละค่ะ จะสองสามแดดสี่แดดกะตากไป
พอตากแดดพอแล้วเนื้อก็จะเริ่มแห้งและเล็กลงเรื่อย ๆ ลักษณะที่เล็กแบบนี้ อีสานบ้านปูเขาเรียกว่า " หลอด " นี่แหละค่ะที่มาของคำว่า " ซิ้นหลอด "
พ่อแม่ปูย่าตายายของลูกหลานอีสานก็ใช้วิธีเอาเนื้อมาตากแดดแบบนี้แหละ เพื่อไม่ให้มันชื้นและเก็บเอาไว้กินได้นาน ๆ ให้ลูกให้หลานได้ห่อไปกินกับข้าวที่โรงเรียน หมู่บ้านไหนมีงานบุญ บรรดาลูกหลานก็จะรู้สึกถึงความหรูหราหมาเห่ากันถ้วนหน้าถ้วนตาเลยหล่ะค่ะ เพราะได้ห่อ " ซิ้นหลอด " ไปโรงเรียน 5555
แล้วคนอ่านหล่ะคะใครเคยได้ห่อข้าวกับซิ้นหลอดไปโรงเรียนบ้าง 😂😂😂 ถ้าให้ปูทายพอถึงเทศกาลงานบุญ ปูว่ากระติ๊บข้าวของทุกคนคงมีแต่ซิ้นหลอดแมนบ้อ 55555
💥 โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง 💥
😍 แล้วพบกันใหม่นะคะผู้อ่านที่รัก 😍
รูปถ่ายผู้เขียนถ่ายเองทั้งหมดค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น